ปีนี้บริษัทพาไปเที่ยวญี่ปุ่นมา ซึ่งจริงๆ เป็นทริปปลายปีแต่เลื่อนมาเที่ยวตอนต้นปี (อีกแล้ว ฮา) เที่ยวฟรีเช่นเคย ขอขอบคุณบริษัทมา ณ ที่นี้ด้วย
ครั้งนี้เราไปญี่ปุ่นโซนโตเกียวและจังหวัดรอบข้าง หรือที่เรียกว่าภูมิภาคคันโตนั่นเอง
ช่วงเวลาที่เดินทางคือสิ้นเดือนมกราคมซึ่งตามพยากรณ์อากาศนั้นเป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็นที่สุดในรอบปี โดยเฉพาะครั้งนี้ก่อนเดินทางไปมีข่าวว่าโตเกียวพายุหิมะเข้าด้วย โอย~!
แต่เมื่อไปถึงก็ถือว่าโชคดีนะ เพราะพายุหิมะหยุดพอดี โดยอุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 0-5 องศา (ตอนกลางคืนและตอนเช้ามืดส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง -5 องศา) ส่วนเรื่องการแต่งตัวนั้นใช้เสื้อหนาวเซ็ตเดิมตอนที่ไปเอ้าติ้งที่เกาหลีเลย (กดไปดูได้ที่นี่) แต่เนื่องจากญี่ปุ่นนั้นหนาวน้อยกว่าเกาหลี ก็เลยจะใส่น้อยชั้นกว่า คือเรียงจากในสุดเป็น เสื้อยืด -> ฮีทเทค -> เสื้อหนาวพองๆ ตัวนอกสุด แค่นี้เลย
กล้องที่ใช้
ในทริปนี้ใช้กล้องตัวเดิมเหมือนทุกทริปคือ มิเลอร์เลส Sony NEX-T5 พร้อมเลนส์ sel 18-200 mm. สำหรับถ่ายรูปทั่วไป และเลนส์มุมกว้าง sel 10-18 mm.
ส่วนเพลนการเที่ยวครั้งนี้ไปกัน 4 วัน โดยที่ 2 วันแรกเราจะเที่ยวรอบนอกของโตเกียวไปทางจังหวัดทางตะวันตกซะเป็นส่วนใหญ่ จากนั้นก็เป็นฟรีเดย์ 2 วันซึ่งเราเลือกออกไปเที่ยวจิบะ (Chiba) 1 วัน และเที่ยวในโตเกียวอีก 1 วัน
รอบนอกโตเกียว
- โอวาคุดานิ
- โอชิโนะ ฮัคไค
- ทะเลสาบยามานากะ
- คาวาโกเอะ
โตเกียว
- อาซาคุสะ วัดเซ็นโซจิ
- ชินจูกุ
- อากิฮาบาระ
- โอไดบะ
- โตเกียวทาวเวอร์
- ตลาดปลาซึคิจิ
- สถานนีรถไฟโตเกียว
- โคเคียว พระราชวังอิมพีเรียล
จิบะ
- วัดนิฮนจิ
- วัดนาริตะซัน
ครั้งนี้เครื่องลงตั้งแต่ตอนเช้าพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลย
ลงที่สนามบินฮาเนดะ หลังจากผ่านการตรวจคนเข้าเมือง และรื้อกระเป๋าเอาเสื้อหนาวออกมาแล้ว ก็ลุยกันไปที่แรกเลย
Owakudani โอวาคุดานิ
หุบเขานรกหรือที่คนไทยคุ้นกันในภาพของหุบเขาบ่อน้ำร้อนต้มไข่ดำ โอวาคุดานิเป็นหุบเขาที่อยู่ไม่ห่างจากโตเกียวมากนัก แถมใกล้กับภูเขาฟูจิด้วย ถ้ามาทัวร์แน่นอนว่ารูทคันโตจะต้องโดนพามาที่นี่แน่นอนเลย
ตัวหุบเขาจะมีบ่อน้ำร้อนและแก๊สกำมะถันพุ่งออกมา อาจจะแสบๆ จมูกนิดๆ ถ้าวันไหนที่กำมะถันไม่ปะทุมากนักเขาจะให้เดินขึ้นไปยังบ่อต้มไปข้างบนได้ แต่ครั้งนี้เขาปิดไม่ให้เข้า เราเคยมาที่นี่แล้วครั้งนึง ตอนนั้นเป็นฤดูร้อน สามารถเดินขึ้นไปถึงบ่อต้มไปข้างบนได้เลย
ที่นี่มีของกินขายเยอะเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะใช้ธีมสีดำ เช่นไอติมชาโคล หรือโมจิดำพวกนี้ แต่ที่เป็นของขึ้นชื่อคือ "ไข่ดำ" ที่เชื่อว่ากิน 1 ลูกจะอายุยื่นขึ้น 7 ปี (จริงๆ มันก็คือไข่ต้ม ที่เอาไปต้มในบ่อน้ำร้อนกำมะถันจะเปลือกเป็นสีดำนั่นแล ส่วนข้างในก็เป็นไข่ต้มธรรมดาสุดๆ)
จากที่นี่ก็สามารถเห็นฟูจิได้ถ้าท้องฟ้าเปิดเหมือนกันนะ
ไอติมนม+ไข่ (ไข่ดำที่ต้มจากบ่อน้ำร้อนของที่นี่) ไม่ค่อยมีรสไข่เท่าไหร่ เหมือนๆ กันไอติมนมทั่วๆ ไป จริงๆ มีไอติมถ่านชาโคลด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าจะอร่อยมั้ย เลยไม่ได้กิน
ก่อนจะไปที่ถัดไป ก็แวะกินอาหารกันก่อน ส่วนใหญ่ในทริปนี้อาหารเกือบทุกมื้อก็เป็นประมาณนี้เลย คือข้าว แล้วก็มีของทอดนิดหน่อยและแกงกะหรี่ญี่ปุ่น
Oshino Hakkai โอชิโนะ ฮัคไค
หมู่บ้านน้ำใส โอชิโนะ ฮัคไค เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวรอบๆ ภูเขาฟูจิอีกหนึ่งที่
มีลักษณะเป็นหมู่บ้านเก่าเล็กๆ (เล็กมาก เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่ไปเที่ยว) และมีบ่อน้ำใสตามชื่ออยู่ 8 บ่อซึ่งถือว่าเป็น 1 ใน 100 แหล่งน้ำธรรมชาติที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น น้ำในบ่อมาจากการละลายจากหิมะบนภูเขาฟูจิเมื่อ ค.ศ. 800 ภายในหมู่บ้านในของกินขายเยอะ ซึ่งช่วงที่ไปถึงเป็นช่วงเย็นๆ แล้ว แถมเป็นเป็นฤดูหนาวเลยจะเป็นบรรยากาศมืดๆ เย็นๆ หน่อย
บ่อน้ำที่ลึกที่สุดมีความลึกถึง 8 เมตร ซึ่งหาง่ายๆ คือมันจะมีทางเดินเป็นทางวงกลมอยู่ มีคนโยนเหรียญลงไปเยอะมาก
มีจุดให้กรอกน้ำกลับไปดื่มได้ด้วยนะ (เพราะเขาเชื่อว่าน้ำบ่อนี้เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์)
และที่หมูบ้านนี้ก็ถือว่าเป็นจุดที่สามารถเห็นภูเขาฟูจิได้ชัดเจนที่หนึ่งเลย ข้อเสียคือต้องหามุมดีๆ หน่อยถ้าอยากได้รูปภูเขาฟูจิเดียวๆ แบบไม่ติดสิ่งก่อสร้างเลย เพราะส่วนใหญ่จะโดนบ้านเรือนบังนิดยังหน่อย
Yamanaka-ko ทะเลสาบยามานากะ
เป็นที่พักวันแรก ได้พักที่โรงแรมริมทะเลสาบยามานากะ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ทะเลสาบรอบภูเขาฟูจิ เป็นจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและถ่ายรูปฟูจิได้ดีมากอีกที่นึงเลย
ที่ทะเลสาบนี้ ถ้าออกไปชมฟูจิตอนเข้า จะเป็นมุมที่แสงอาทิตย์ส่องลงมาโดนฟูจิซันเป็นสีแดงส้มพอดี แต่ถ้าใครจะไปชมหรือถ่ายรูปจะต้องตื่นเข้านิดนึงนะ เพราะแสงแบบนี้จะอยู่แค่ไม่เกิน 30 นาทีหลังพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น
รอบทะเลสาบจะมีทางเดิน แต่ตอนที่ไปเป็นฤดูหนาว ทำให้หิมะเต็มพื้นเลย เดินยากมาก ถ้าเป็นฤดูอื่นน่าจะเดินเล่นหรือปั่นจักรยานรอบทะเลสาบได้
ในทะเลสาบมีหงส์และเป็ดด้วย ซึ่งทะเลสาบนี้มีบริการนั่งเรือล่องในทะเลสาบด้วยนะ (แต่เราไม่ได้ขึ้น)
สำหรับคนที่อยากรู้ว่าถ้าเราไปยืนอยู่ที่นั่นจริงๆ เราจะเห็นฟูจิเป็นแบบไหนก็นี่เลย
อันนี้ถ่ายด้วยกล้องมือถือธรรมดาเลย ไม่ได้แต่งรูปอะไร แต่อันนี้ถ่ายตอนพระอาทิตย์ขึ้นมาซักพักใหญ่ๆ แล้วนะ (กล้องมือถือถ้าถ่ายตอนยังไม่ค่อยมีแสงมันจะไม่ค่อยสวย ถ้ามือถือไม่เทพนะ ฮา)
Kawagoe คาวาโกเอะ
เป็นเมืองเก่าที่ยังคงสภาพบ้านเมืองตามสถาปัตยกรรมสมัยเอโดะ มีชื่อเล่นว่า Little Edo (Edo เป็นชื่อเมืองเดิมของโตเกียวนะ) ตอนนี้บ้านเรือนต่างๆ เปลี่ยนเป็นร้านขายของที่ระลึกและขายขนมของกิน
นอกจากร้านขายของแล้วยังมีแลนมาร์คเป็นหอระฆังสูง 16 เมตรชื่อว่า Toki no Kane รวมถึงศาลเจ้าและปราสาท (เล็กๆ) ต่างๆ
Tokyo โตเกียว
วันที่ 2 ของทริปหลังจากแวะคาวาโกเอะแล้ว ก็มุ่งหน้าเข้าโตเกียวต่อ และเริ่มที่แรกกันด้วย...
Asakusa ย่านอาซาคุสะ และวัดเซ็นโซจิ
หรือที่ส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อ วัดอาซาคุสะ (จริงๆ เป็นชื่อย่านนะ) เป็นวัดเก่าแก่ของของโตเกียว ตามตำนานบอกว่ามีชาวประมง 2 พี่น้องออกไปจับปลา แต่หาปลาไม่ได้เลย เลยอธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้จับปลาได้ แต่เมื่อเหวี่ยงแหลงไปก็ได้เจ้าแม่กวนอิมทองคำสูงประมาณ 5 นิ้วขึ้นมาแทน (สรุปก็คือยังไมไ่ด้ปลาอยู่ดีนะ? ฮา) จึงนำกลับหมู่บ้านแล้วสร้างเป็นวัดต่อมา
ตัววัดจะแยกเป็น 2 ส่วนคือถ้าเข้ามาทางด้านหน้า จะเจอประตูวัดใหญ่เรียกว่า คามินาริมง (Kaminari-mon) หรือประตูฟ้าคำรณ สังเกตง่ายๆ คือจะมีโคมแดงยักษ์แขวนเอาไว้ ที่ด้านล่างของโคมแดงจะมีรูปสลักไม้มังกรอยู่ มีความเชื่อว่าถ้าเอามือลูบแล้วจะสุขภาพดี (คำเตือน! ตัวโคมอยู่สูงมาก ใครตัวเตี้ยไม่น่าจะกระโดดถึง ขั้นต่ำคุณควรจะสูงประมาณ 170 cm. ถึงจะแตะมันได้)
ส่วนด้านหน้าประตูจะเป็นถนนคนเดินเล็กๆ ชื่อนากามิเซะ ซึ่งมีร้านเล็กๆ ขายของทีีระลึกและของกินรายทาง
หลังจากผ่านประตูมาแล้ว จะเจอโซนกระถางธูป ให้กวักควันธูปเข้าตัวเพื่อความโชคดี
อาคารหลังในก็จะเป็นที่ตั้งของเจ้าแม่กวนอิมที่ว่าไปตอนต้น
ศาลเจ้าญี่ปุ่นจะมีกล่องให้
ปัญหาคือสำหรับคนอ่านคันจิไ
เหรียญ 5 เยนเป็นเหรียญเล็กสีทอง มีรูตรงกลาง เขียนว่า 五円 ใครจำไม่ได้ก็หาเหรียญที่มั
Shinjuku ย่านชินจูกุ
เป็นย่านที่มีสีสันตลอดเวลา เป็นย่านช้อปปิ้ง แต่ในทริปนี้เรามาแวะกินข้าวกันเท่านั้น
Akihabara ย่านอากิฮาบาระ
เป็นย่านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เรามาที่นี่หรอกนะ
อากิฮาบาระ หรือ "อากิบะ" เป็นอีกแหล่งขายสินค้าของเล่นและการ์ตูนชื่อดังในญี่ปุ่น ซึ่งครั้งนี้เราไปกันที่ห้าง Yodobashi ชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นขายของเล่น (ส่วนใหญ่เป็นโมเดลพลาสติก)
แถวๆ นี้จะมีตู้ขายของเล่นหยอดเหรียญที่เรียกว่า "กาชาปอง" ที่ต้องอาศัยดวงกันหน่อยเพื่อจะได้ของเล่นชิ้นที่เราต้องการ โดยส่วนใหญ่การหมุนตู้ 1 ครั้งจะใช้เงินประมาณ 100 - 500 เยน
แถวนี้มีของกินเป็นขนมนิดหน่อย พวกไทยากิ หรือทาโกะยากิ
Oodaiba โอไดบะ
เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในอ่าวโตเกียว เป็นเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะในสมัยก่อนที่ญี่ปุ่นมีการรบกับต่างชาติ ที่ตรงนี้จะใช้เป็นป้อมกันไม่ให้เรือรบข้าศึกบุกเข้าไปถึงตัวเมืองได้
ในตอนนี้โอไดบะเป็นที่ตั้งของห้างและสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เรียกว่าอยู่ที่นี่ทั้งวันก็ยังเที่ยวไม่ครบ
แต่เป้าหมายของเราครั้งนี้คือการไปชมหุ่น "กันดัม ขนาด 1:1" ... ตอนนี้ไม่ใช่ RX-78 แล้วแต่เป็น Unicon Gundam แทน (แต่เราชอบ Unicon มากกว่าตัวออริจินอลแบบ RX-78 นะ) เราเลยต้องไปกันที่ Diver City Tokyo Plaza โดยต้องนั่งรถไฟฟ้าสายพิเศษคือ ยูริคะโมเมะ (Yurikamome) จากฝั่งโตเกียวไปลงสถานนี ไดบะ (Daiba)
Unicon Gundam ขนาด 1:1 ตั้งอยู่ที่ด้านของห้องไดเวอร์ซิตี้เลย ทุกๆ ชั่วโมงนะมีโชว์แปลงร่างของ Unicon ประกอบแสงสีเสียงพร้อมกับฉายอะนิเมะเป็นฉากหลัง
(เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ก็แค่มีการขยับเขากับเปิดหน้ากากนิดหน่อย คือเปลี่ยนเป็น Unicon โหมด NT-D นั่นแหละ 555+)
แต่นอกจากหุ่นกันดัมที่เป็นเหมือนพระเอกของที่นี่ ด้านในชั้นบนสุดก็มี Gundam Base เป็นคล้ายๆ กับพิพิธภัณฑ์กันดัมอยู่ด้วย มีการแสดงกันพลาที่ต่อแล้วด้วย
ด้านหน้าเลยมีโมเดลของตัวเอกภาค Build Fighter ขนาดเท่าคนจริง กับกันดัมของพระเอกทุกภาพเรียงเอาไว้ให้ดูด้วย
อักไก แบร์ !!
อันนี้เป็นโซนแสดงพวกโรงงานและอุปกรณ์ทำกันพลา
แน่นอน! มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่มีงานขายคงไม่ได้ มีกันพลาขายเต็มไปหมด ใครชอบกันพลา เข้าไปได้เสียเงินซื้อซักตัวแน่ๆ
Tokyo Tower โตเกียวทาวเวอร์
หอคอยสื่อสารที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์หนึ่งของกรุงโตเกียว อยู่ในย่านรปปงงิ (Roppongi) สร้างมาแล้วมากกว่า 50 ปี ด้วยความสูง 333 เมตร สีของโตเกียวทาวเวอร์นั้นดูเผินๆ จะเป็นสีแดงสลับขาว แต่จริงๆ คือสีส้ม ชื่อทางการคือสีส้มอินเตอร์เนชั่นแนล (ชื่อไฮโซมาก 55) กับสีขาวตั้งหาก บางครั้งในฤดูร้อนจะมีการเปิดให้คนเดินขึ้นด้านบนของทาวเวอร์ด้วยจำนวนขั้นบันได 600 ขั้นด้วย (ถ้าเดินขึ้นถึงด้านบนมี Certificate ให้ด้วยนะเออ)
โดยส่วนตัวชอบโตเกียวทาวเวอร์ตอนกลางคืนมากกว่า เพราะจะมีการเปิดไฟทั้งทาวเวอร์จนกลายเป็นสีส้มแบบที่เห็นนี่
Tsukiji ตลาดปลาสึคิจิ
สึคิจิแปลตรงตัวแปลว่า "พื้นที่ที่นำดินมาถม" ต่อมาได้กลายเป็นแผงขายผักผลไม้ อาหาร โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารทะเล
นอกจากเป็นแผงร้านขายสินค้าอาหารทะเลแล้วก็ยังมีร้านอาหารมากมายด้วย ขากินมาเดินเล่นๆ ที่นี่ต้องเตรียมเวลาในการต่อคิวด้วยนะ เพราะแต่ละร้านคิวค่อนข้างยาวเลย
แน่นอนว่าขึ้นชื่อที่สุดคืออาหารทะเล พวกปลาดิบ ปู ปลาไหล ซูชิ อะไรพวกนั้นนะ
Tokyo Station สถานนีรถไฟโตเกียว
สถานนีรถไฟโตเกียว เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ไทโชที่3 หรือ ค.ศ.1914 จนถึงตอนนี้ก็ทะลุ 100 ปีไปเรียบร้อยแล้ว ตัวตึกเป็นสไตล์ตะวันตกเพราะในสมัยนั้นญี่ปุ่นรับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาพัฒนาประเทศเยอะมาก
ภายในนอกจากจะเป็นสถานนีรถไฟแล้วยังเป็นที่ตั้งของร้านขนมมากมาย แต่อันนี้ไม่ได้ไปซื้ออะไร เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา
Koukyo พระราชวังอิมพีเรียล
โควเคียวหรือพระราชวังอิมพีเรียล ปัจจุบันเป็นที่พักของจักรพรรดิญี่ปุ่นและครอบครัว ลักษณะเป็นป้อมสไลต์ญี่ปุ่นและมีคูน้ำล้อมรอบ มีประตูเข้าทั้งหมด 8 ประตู แต่โดยปกติแล้วจะไม่ให้คนทั่วไปเข้าชมภายในได้นอกจากวันที่ 1 มกราคม กับวันที่ 23 ธันวาคมที่เป็นวันเกิดของจักรพรรดิคนปัจจุบัน (ในอนาคตอาจจะเปลี่ยนวัน เพราะจักรพรรดิองค์นี้กำลังจะสละราชสมบัติแล้วล่ะนะ)
อีกจุดหนึ่งที่คนนิยมไปชมคือ นิจูบาชิ (Nijubashi) หรือ "สะพานแว่นตา" นั่นเอง ที่มาของชื่อก็คือเมื่อเรามองสะพานจากด้านข้าง แนวโค้งของสะพานจะสะท้อนกับพื้นน้ำเป็นรูปคล้ายๆ แว่นตานั่นเอง
ในทริปนี้นอกจากเที่ยวในโตเกียวแล้ว เรายังมีออกไปเที่ยวจังหวัดจิบะ (หรือที่คนไทยชอบเรียกว่า ชิบะ) ในวันฟรีเดย์อีกด้วย
Chiba จิบะ
จังหวัดจิบะอยู่ทางตะวันออกของโตเกียว ล้อมรอบด้วยทะเล 3 ด้านและแม่น้ำอีก 1 ด้าน วิธีการไปส่วนใหญ่คือนั่งรถไฟเข้าไป (ค่อนข้างไกล) และเป็นบรรยากาศเป็นชนบทมากๆ และจังหวัดนี้ยังเป็นที่ตั้งของสนามบินนาริตะด้วย
ขอบอกไว้นิดนึงคือเวลาเราออกจากโตเกียวเข้าสู่จังหวัดจิบะแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นเมืองเล็กๆ ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ และคนพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เลย แถมป้ายก็ยังไม่มีภาษาอังกฤษอีก ถ้าใครพูดภาษาญี่ปุ่นหรืออ่านตัวอักษรอ่านจะได้เปรียบมาก เพราะจะไม่หลงทาง (ฮา)
Nihon-ji
ที่แรกที่เราไปกันคือวัดนิฮนจิ โดยใช้เวลาเดินทางโดยการนั่งรถไฟจากโตเกียวไปประมาณ 1.30 ชม.
วัดนิฮนจิเป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเขา โดยวิธีการขึ้นจะมี 2 ทางคือเดินบันไดหินขึ้นไป (ไกลมาก บอกเลย) กับอีกทางนึงคือนั่งกระเช้าขึ้นไป
แต่มาถึงก็เจอเรื่องเซอร์ไพรส์เลย เพราะกระเช้าปิดให้บริการจ้า! ตอนที่ไปนี่มีลุงกับป้าชาวญี่ปุ่น 2 คนไปด้วย หลังจากเจรกันกับเจ้าหน้าที่ที่สภานนีกระเช้าพักใหญ่ ก็เลยตกลงกันว่าเขาจะเรียกแท็กซี่ให้ แล้วเอาไปส่งทางขึ้นอีกด้านหนึ่งให้ (คุยเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดจ้า มั่วสุดๆ แต่ก็เจรจามาจนรู้เรื่องได้)
ไฮไลท์ของที่นี่คือพระพุทธรูปไดบุตสึองค์ใหญ่มาก ถือว่าเป็นพระพุทธรูปหินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น คือสูงถึง 31.05 เมตร
ระหว่างรอรถไฟมาก็ไปหาอะไรกิน อันนี้เป็นชานมรสเหมือนยี่ห้อ Tea Break ที่เคยขายในไทย แต่เป็นแบบกระป๋องร้อน
Naritasan shinsoji
ที่ที่สองที่เราไปกันต่อก็คือวัดอีกแล้ว คราวนี้เป็นวัดขึ้นชื่อของจังหวัดจิบะคือวันที่ชื่อว่า นาริตะซันโซจิ เป็นวัดอายุมากกว่า 1000 ปี คือสร้างตั้งแต่ ค.ศ.940
วิธีการไปคือลงรถไฟที่สถานนี Narita แล้วเดินตามถนนชื่อ โอโมเตะซันโด (Omotasando) ที่แปลว่าถนนหน้าวัดเข้าไปประมาณครึ่งกิโล
ระหว่างทางก็จะมีร้านขายอาหารมากมาย แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดของที่นี่คือข้าวหน้าปลาไหลย่าง Kawatoyo Honten
แต่เนื่องจากคนต่อแถวเยอะมาก และในกลุ่มไม่ได้ชอบกินข้าวหน้าปลาไหลขนาดนั้น เลยเปลี่ยนไปกินข้าวหน้าด้ง (ข้าวราดหน้าต่างๆ เช่นหมูทอดทงคัตสึ หรือเทมปุระ) ที่ร้านฝั่งตรงข้ามกันแทน (อย่างที่บอก เมนูและหนักงานพูดภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดนะ ใครพูดไม่ได้แนะนำให้ถ่ายรูปอาหารจำลองหน้าร้านแล้วโชว์ให้เขาดู)
แล้วหลังจากพักกินข้าวกันแป๊ปนึงก็เดินมาถึงวัดนาริตะซันในที่สุด ช่วงบ่ายของวันนี้เมฆเต็มไปหมด เลยได้บรรยากาศหม่นๆ เหมือนฝนจะตก ถ่ายรูปออกมาไม่สวยเท่าไหร่เลย
หลังจากผ่านประตูแรกเข้ามาแล้วเราจะเจอประตูที่สองชื่อว่า นิโอมง (Niomon) ที่มีโคมแดงใหญ่ประดับเอาไว้ จากนั้นจะมีสะพานเล็กๆ แล้วก็เข้าสู่ลานกว้างที่มีวิหารหลักของวัดตั้งอยู่
c
จากวิหารหลักถ้าเดินต่อไปทางด้านขวาจะเป็นที่ตั้งของสวนนาริตะซันให้เราลงไปเดินเล่นได้
จบแล้ว ทริปนี้!
หลักๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะเคยไปโตเกียวมาแล้วรอบนึง ยวกกับเป็นคนไม่ชอบเที่ยวเมือง (แต่แน่นอนว่ายังไงเราก็ไป เพราะบริษัทใจดีพาไปเที่ยวฟรี 55)
แถมเป้าหมายที่จะมาถ่ายรูปฟูจิซันอีกครั้งก็ทำได้แล้ว แถมท้องฟ้าเป็นใจ ฟ้าเปิดโล่งไม่มีเมฆซักก้อนเลยด้วย
ก่อนกลับก็ทำการละลายเงินเยนด้วยการกดตู้น้ำที่สนามบิน ซึ่งคราวนี้มีการซื้อบัตร Suica มาด้วย เลยทำให้เวลาซื้อของใช้บัตรจ่ายได้ ไม่มีเศษเยนมาให้ปวดหัวว่าเราจะหาที่ใช้มันได้ยังไง
ก็ขอจบบทความนี้เท่านี้ละกัน เจอกันใหม่ทริปหน้า
ข้อมูลการท่องเที่ยวและสถานที่ต่างๆ อ่านจากหนังสือ 2 เล่มนี้เลย